ประวัติของผลกีวีน่าสนใจเพราะถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในประเทศจีน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 Mary Isabel Fraser ครูใหญ่ที่เดินทางไปเยี่ยมโรงเรียนสอนศาสนาที่ประเทศจีนได้นำเมล็ดผลไม้ชนิดนี้กลับมาที่นิวซีแลนด์ เมื่อเจออากาศดีดินสมบูรณ์ จึงให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ใช้ชื่อ Chinese Gooseberries ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Kiwifruit ในปีค.ศ. 1959 ตามชื่อนกกีวี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนิวซีแลนด์ ผลกีวีได้กลายเป็นผลไม้ส่งออกที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาสายพันธุ์และคุณภาพให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
กีวีที่วางขายในท้องตลาดมี 2 แบบ คือ Green Kiwi ซึ่งผลเป็นทรงกลมรี เปลือกสีน้ำตาล และมีขนสีน้ำตาลปกคลุมบางๆ เนื้อในเป็นสีเขียว รสเปรี้ยวอมหวาน กับ Gold Kiwi ซึ่งทรงเหมือนหัวจุก เปลือกสีบรอนซ์เนียน เนื้อในสีเหลือง รสชาติหวานกว่าแบบแรก
วิธีการเลือกซื้อ เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลมา ให้พยายามเลือกที่เปลือกตึง เนื้อแน่น ไม่มีรอยช้ำ เวลากดเบาๆ เนื้อจะนิ่มไม่มาก เมื่อซื้อมาแล้วควรเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาความสด ในส่วนของราคานั้นแบบสีเขียวและสีทองจะต่างกันไม่มาก ขึ้นอยู่กับว่าชอบแบบใดมากกว่ากัน
การนำมารับประทานนั้นมีหลายแบบ แต่ถ้ากินเพื่อให้ได้สารอาหารเต็มเปี่ยม เช่น วิตามินซี วิตามินอี และโฟเลตนั้น แนะนำให้กินแบบสด ซึ่งวิธีกินง่ายๆ ไม่เลอะมือคือใช้ช้อนผ่าครึ่งลูก แล้วตักเนื้อตรงกลางกินได้เลย ถ้าซื้อกีวีแบบแพ็กจะแถมช้อนพลาสติกซึ่งมี 2 ด้าน คือ ด้านหยักสำหรับผ่าครึ่งลูก และด้านเรียบสำหรับตักเนื้อตรงกลางกิน
ผลกีวีสามารถนำมาทำขนมและเครื่องดื่มได้หลายแบบ อาทิ ฟรุตสลัดใส่สตรอว์เบอร์รีและส้ม หรือปั่นเป็นสมูทตีก็ใช้ได้ หรือหั่นและผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติกินก่อนนอน รับรองสบายตัวในตอนเช้า เพราะผลกีวีมีเส้นใยอาหารเพียบ
เขียนโดย พลอยจรัส ประกัตฐโกมล
อ่านบทความเต็มได้ในนิตยสาร @Kitchen ฉบับตุลาคม 2554
วันที่: Wed Apr 30 14:57:34 ICT 2025
|
|
|